สรุปเจ้ากลูต้าไธโอนเนี่ยมันดีหรือเป็นอันตรายกันแน่ แม่ค้าดูแล้วก็งง ก็ลองเอาเรื่องนี้มาให้อ่านกันนะค่ะ
จากที่สืบค้นเจอมา ก็มีดังนี้
1. คำเตือน!!! โปรดระวังของปลอมอ้างว่าเป็นกลูต้าไธโอนแต่จริง ๆ แล้วเป็น Transmine ที่ใช้ห้ามเลือดนี่เอง แอบเอามาใส่ แคปซูลขายกัน เพราะยานี้กินแล้วหน้าใสแต่อันตรายเพราะมันทำให้ห้ามเลือด
2. เมื่อเช้าเราดูรายการผู้หญิงถึงผู้หญิง (จิงๆก็ได้ยินข่าวทางลบของสารตัวนี้มานานแล้ว) อย.ออกมาบอ กว่า สารตัวนี้เป็นสารต้องห้ามของ อย. ทางการแพทย์ใช้ในการทำให้เลือดแข็งตัว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการทำให้ผิวขาวเลย แล้วอยู่ดีดีจะมาเอาสารพวกนี้เข้าไปในร่างกาย มันอันตรายจ้ะ
3 .กลูต้าไธโอน ปกติอ.ย.จะกำหนดให้ใช้ได้แค่ 250g นะคะ เคยเห็นเค้าขายกันที่ 500g อันนี้อันตรายอย่างสูง อ.ย.ห้ามใช้
4. อยากทราบว่ากลูต้าไธโอนคืออะไรค่ะ ไม่เคยรู้จัก แต่ฟังข่าวแล้วรู้สึกกลัวจังค่ะ
- กลูต้าโธโอน(Glutathione) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า GSH ประกอบด้วย กรดแอมิโน 3 ชนิดที่เรียงตัวกัน คือ cysteine , glutamic acid , glycine มีบทบาทต่อกระบวนการเมแทบอลิซึมภายในเซลล์ทั่วร่างกาย ทำให้เซลล์มีการซ่อมแซมตัวเอง ทั้งยังเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยมที่คอยกำจัดอนุมูลอิสระ หรือสารพิษต่าง ๆ ซึ่งคอยทำลายเซลล์อีกด้วย ทั้งยังป้องกันความเสื่อมและเพิ่มภูมิต้านทานภายในร่างกายได้เป็นอย่างดี เราได้รับกลูต้าไธโอนจากสารอาหารตามธรรมชาติที่รับประทานเข้าไปจากเนื้อ ผักสีเขียว หรือสมุนไพรบางชนิด หรืออบเชยก็มีครับ
จากการศึกษาพบว่าหากเราขาดกลูต้าไธโอน จะทำให้ร่างกายเกิดความผิดปกติได้หลายอย่าง เช่น การซ่อมแซมหรือการหายของแผลช้าลง ทำให้การภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ผู้ป่วยโรคเอดส์ หรือผู้เป็นโรคระบบประสาทอย่างพาร์กินสัน ก็มีระบบกลูต้าไธโอนในร่างกายลดลงกว่าปกติด้วยเช่นกัน กลูต้าไธโอนจึงมิใช่ยาอันตรายเหมือนที่หลายท่านกลัว แต่เป็นที่รู้จักในวงการแพทย์มานาน และมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ ทั้งรูปแบบอาหารเสริมรับประทาน หรือรูปแบบการฉีดเพื่อเสริมการรักษาในบางโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบกลูต้าไธโอนในเลือดที่ลดลง
แล้วกลูต้าไธโอนทำให้ผิวขาวได้จริงหรือไม่ เป็นอันตรายหรือไม่
-กลูต้าไธโอนจะส่งผลให้ระดับวิตตามินซีในร่างกายมีการหมุนเวียนและอยู่ในร่างกายได้นานขึ้น ไม่เฉพาะวิตตามินซีเท่านั้น หากในร่างกายมีสารอาหารบางชนิดในกลุ่ม พอลิฟีนอล เช่น สารสกัดจากเมล็ดองุ่น สารสกัดจากเปลือกสน ก็จะทำให้สารเหล่านี้อยู่ในร่างกายได้นานขึ้น เช่นกัน ซึ่งหลายท่านคงเคยทราบมาบ้างว่าสารในกลุ่มพอลิฟีนอล รวมทั้งวิตตามินซีนี้เองทีมีคุณสมบัติยับยั้งการทำงานของเอนไซด์ไทโรซิเรสในเซลล์สร้างเม็ดสี ส่งผลให้ขบวนการผลิตเม็ดสีช้าลง จึงทำให้ผิวใสและแลดูสว่างขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลดังกล่าว เป็นผลทางอ้อม หรือพูดง่าย ๆ คือ ผลพลอยได้ที่ได้รับจากการได้กลูต้าไธโอนเท่านั้น ผลดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นอย่างถาวร เป็นเพียงชั่วขณะเท่านั้น และจะกลับคืนสู่สภาวะปกติเมื่อกลูต้าไธโอนลดระดับลง
หากลองหาข้อมูลทางอินเตอร์เนตจะพบว่าในหลายประเทศมีการจำหน่ายกลูต้าไธโอนในรูปรับประทานแบบอาหารเสริมอาจจะเป็นกลูต้าไธโอนเดี่ยว ๆ หรือบางครั้งอาจผสมร่วมกับสารจำพวกพอริฟีนอล หรือวิตตามินซี โดยขนาดรับประทานมีตั้งแต่ 50 มิลลิกรัม ถึง 250 มิลลิกรัมต่อแคปซูล กระแสของกลูต้าไธโอนในบ้านเราได้รับการตอบรับแรงเกินคาดจนถูกนำมาโฆษณา ในเชิงพาณิชย์มากจนเกินไป ทำให้ อย. ต้องออกมาทำหน้าที่เพื่อปกป้อง ผู้บริโภค
นี่คืออุทาหรณ์ที่สอนให้รู้ว่าการขาดจรรยาบรรณและมองทุกอย่างในเชิงพาณิชย์จนเกินไป อาจทำให้สิ่งดี ๆ ที่มีประโยชน์เกิดเป็นภาพติดลบในพริบตา
แหล่งที่มา http://asianlife.igetweb.com/index.php?mo=3&art=156629